วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ส่งท้ายปีเก่าด้วยการสวดมนต์ข้ามปีกันดีกว่า

วันนี้ พวกเราชาวไทยมาร่วมกันทำความดีส่งท้ายปีเก่า

  ...เพื่อตัวเราเอง

  ...เพื่อครอบครัว

   ...เพื่อสังคม ประเทศชาติ

   ...และเพื่อในหลวงของพวกเรา

   มาร่วมกันสวดมนต์ข้ามปีกันเถอะครับ http://www.seal2thai.org/sara/sara251.htm
 

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นิตยสารอิสวาุสุ ฉบับที่ 3 เดือน ธันวาคม ออกแล้ว!!!


   Merry X'Mas
   ขอทักทายตามกระแสของวันคริสมาสในวันนี้นะครับ

   หลังจากกิจกรรมภารกิจที่โรงเรียนในวันนี้ พอกลับมาครูแชมป์ก็ไปจัดการเรื่องเงินๆทองๆ แล้วแวะไปที่ร้านเสียงทิพย์ จ.พิษณุโลก

   พื้นที่แรกที่โฉบไปคือแผงนิตยสารพระเครื่อง สายตาเหลือบไปเห็น "อิสวาสุ" ฉบับที่ 3 ประจำเดือนธันวาคม 2555 ได้มาถึงพิษณุโลกแล้ว แต่ยัง!!! ยังไม่หยิบในตอนนั้น เพราะต้องเลยขึ้นไปดูคู่มือวิทยาศาสตร์ ม.1 เสียก่อน (เดือนๆ หมดไปกับการซื้อหนังสือสอนเด็กเท่าไรเนี่ย... 555)

   เมื่อลงมา ก็เอาหนังสือที่ซื้อวางไว้ แล้วรีบไปหยิบอิสวาสุ เมื่อเจ้าหน้าที่คิดเงินเสร็จแล้ว จึงแกะออกดู มีพระกริ่งคลองตะเคียน 1 องค์มากับนิตยสาร และแล้วก็เห็นหน้า (พุง) ของเรา...ในหน้า 76 - 77

   ว้าาาาาวววววว!!!!

   เรื่องของเราได้แล้ว ต้องขอบคุณกองบก. นิตยสารอิสวาสุ ที่กรุณาสืบประวัติข้อมูลของผมเพิ่มเติม และได้นำไปลงในหนังสือด้วย (รู้สึกเหมือนเป็นติ๊ก เจาฎาภรณ์เลย <<< ว่าไปนั่น 555)

   ลืมบอกไปครับ เรื่องที่ผมส่งไปนั้น เป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวกับหลวงปู่แขก ปภาโส หรือท่านเจ้าคุณ พระมงคลสุธี วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เขียนไปไม่ยาวมากครับ อิอิ แต่ขอยืนยันเลยว่าเรื่องจริง ประสบการณ์จริง เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ไม่ได้ฟังต่อจากใคร ไม่แต่งเติม เรื่องจริงล้วนๆครับ

อิสวาสุ ประจำเดือนธันวาคม ปีที่ 1 ฉบับที่ 3


หน้า 76 - 77 ของ อิสวาสุ

บอกสังกัด กันให้ชัดๆไปเลย 
   ต้องกราบขอบพระคุณที่ทางกอง บก. ได้ให้โอกาสผมได้เผยแพร่กิตติคุณของผู้ที่ผมเคารพนับถือ ยังครับ ผมยังมีเรื่องเล่า ประสบการณ์อีกเยอะ ผมแค่คนชอบเล่าเท่านั้นเอง.... ไม่ได้โม้.... ฮาาาา

   อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไร ติดชมได้นะครับ พี่น้องทุกท่าน


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ควันหลงวันสิ้นโลก


   หลังจากผ่านวันที่หลายคนในโลกคิดว่าเป็นวันสิ้นโลก นั่นคือวันที่ 21 / 12 /12 ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่มากเกินไปจริงๆ ในวันที่ 20 ตอนไปซื้อข้าว คนขายข้าวบอกว่า มีคนแก่อายุ 80 เครียดจัดถึงกับล้มป่วย เพราะกลัวว่าโลกจะแตก แล้วจะไม่ได้เจอลูกหลาน หรือแม้กระทั้งปลากระป๋อง กับเทียนไขถูกเหมาหมดไปในร้านสะดวกซื้อ (ซึ่งผมก็ต้องต่อคิวคิวเงินจากป้าคนนั้นนานมากกกกกก)

   วันนี้ ได้มาเจอข่าวในอินเทอร์เน็ต เลยขอนำมาลงให้อ่านกันเ่ล่นๆครับ

นักหลงใหล UFO ผิดหวัง รอเป็นพยานวันสิ้นโลก


   กลุ่มนักหลงใหล ใน UFO ต่างพากันเป็นสักขีพยาน รอดูเหตุการณ์วันโลกาวินาศของโลก แต่ต้องผิดคาด เพราะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ

   สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ในวันนี้ (21 ธ.ค.) กลุ่มคนรัก UFO รวมตัวกันออกมาแสวงหาข้อเท็จจริง และก็เพื่อเป็นสักขีพยานตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเม็กซิโก ตามคำทำนายจากปฏิทินของชาวมายัน ว่า วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนยุคใหม่ของโลก 21/12/12

   ซึ่งทางด้านนักวิชาการของสหรัฐ ออกมาให้ความหมายของวันสิ้นโลก ที่ได้ปลุกกระแสชาวโลกขณะนี้ ว่า หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของยุค หรือ ศตวรรษ ซึ่งโลกจะกลายเป็นยุคใหม่จากที่ยาวนานมาเป็นเวลา 400 ปี

   แต่ทางด้านศิลปินมากมาย ทั้งความคิดเห็นของทนายและนักธุรกิจ ต่างพูดถึงวันสิ้นโลกไปในความหมายของการเดินทางในเช้าวันใหม่ ดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ซึ่งมีความหมายไปทางเดียวกันกับคำกล่าวของสหรัฐว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ของโลก

   ซึ่งกลุ่มคนที่หลงใหลของสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ยากจะอธิบายได้ เช่น UFO หรือ การทำนายตามชาวมายันก็จะต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เนื่องจาก วันนี้ ที่เป็นกระแสไปทั่วโลกว่า ถึงจุดจบของโลกก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นที่บ่งบอกถึงความรุนแรงซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงวันโลกาวินาศได้เลย

ที่มา INNNEWS.CO.TH

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คำค้นหาสุดฮิต ติดลมบน google


คำค้นสุดฮิต ติดลมบน google

     เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลสำหรับทำรายงาน ทำการบ้าน ทำข้อมูลต่างๆ ครูแชมป์เชื่อว่าหลายท่านต้องคิดถึง search engine ที่ขึ้นแท่นในหัวใจของคนไทย (เผลอๆ ทั่วโลก) นั่นก็คือ google


   เรามาลองดูกันดีกว่านะครับว่า ในปี 2012 ที่ผ่านมา มีคำค้นหาที่มีประชาชนชาวไทย ค้นหามากที่สุดจนติดอันดับ คำค้นสุดฮิต ของ google กันนะครับ (มาลองดูว่า มีคำที่คุณเคยค้นไปบ้างหรือป่าว) เค้าแยกเป็นหมวดๆนะครับ

   หมวดคำค้นหาสุดฮิต
1. 4Shared
2. แรงเงา
3. Simsimi
4. Gangnam Style
5. วินาทีเดียวเท่านั้น
6. ร่มสีเทา
7. ปิ่นอนงค์
8. Dragon Nest
9. Kizi
10. บ่วง


อ่านต่อฉบับเต็มได้ที่ http://www.seal2thai.org/sara/sara250.htm


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง (ภาค 2)


   อันนี้เป็นภาคต่อของ ภาค 1 ที่เขียนเมื่อวานนะครับ (http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/blog-post_13.html) ยังไงลองอ่านดูก่อนนะครับ

   เอาหละ มาพูดเรื่องงานที่นอกเหนือการสอนของครูกันต่อ

   ในการสอน ครูจะต้องมีการเช็คชื่อนักเรียน และบันทึกลงใน ปพ.5 ต้องคอยตรวจสอบว่า นักเรียนคนไหนไม่มา มาสาย แล้วต้องประสานครูประจำชั้นเพื่อติดตาม (ในกรณีที่สอนรายวิชา) แต่โรงเรียนเล้กๆส่วนใหญ่ ครูประจำชั้นจะเป็นคนสอนเองในตัว

   ใน ปพ.5 นอกจากมีการลงเวลามาเรียนแล้ว ยังมีส่วนที่ครูต้องบันทึกครู คะแนนที่ทำการทดสอบ ทำกิจกรรม โดยต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัด (ที่ได้มาจากการวิเคราะห์หลักสูตรและเขียนแผน) ต้องมีการแบ่งว่าจะเป็นคะแนน 80 : 20 หรือ 70 : 30 หรือ 60 : 40 แล้วแต่ธรรมชาติของวิชา ครูยังต้องลงคะแนนการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความ (ถ้าโรงเรียนใหญ่ๆ จะมีงบประมาณในการทำข้อสอบอย่างดี ส่วนโรงเรียนเล็กๆ ถ้าไม่ยืมเค้ามาถ่าย ครูก็ต้องออกแบบเองให้เหมาะสม) และยังมีคะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์อีก

   เมื่อครูกรอกคะแนนเรียบร้อยแล้ว ต้องส่งคะแนนให้ครูประจำชั้นกรอก ปพ.6 และ ปพ.8 เพื่อมอบให้ผู้ปกครองเอาไปชื่นชมตอนปลายปี (ถ้าเป็นมัธยมก็ปลายเทอม) แล้วครูต้องส่งให้ฝ่ายวัดผลกรอกลงใน ข้อมูลโปรแกรม student'51

   นอกจากนี้ ครูยังต้องทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการออกเยี่ยมบ้าน การประชุมผู้ปกครอง การคัดกรอกเด็กกลุ่มเสี่ยง การทำกิจกรรมห้องเรียนสีขาว การประสานงานกับครู D.E.A.R. ที่เป็นตำรวจ เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเด็ก


   บางที ตามโรงเรียนบ้านนอก มีเด็กหนีไปเล่นน้ำ เราอาจได้เห็นภาพครูขี่มอเตอร์ไซต์ถือไม้เรียวไปไล่เด็กกลับมาเรียน ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นอาจดีใจที่ครูเอาใจใส่ แต่ผู้ปกครองบางคนบอกว่า เพราะเด็ก 1 คน ทำให้เด้กอีก 10 คน ไม่ได้เรียน .... เฮ้อ ต่างมอง ต่างมุม

   ที่เล่ามาเราเรียกมันว่า ธุรการชั้นเรียน

   ในการจัดการเรียนรู้ สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการวัดและประเมินผล นั่นคือการสอบนั่นเอง

   ครูวิทยาศาสตร์ หากสอนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เค้าก็จะสามารถออกแบบทดสอบได้อย่างมีคุณภาพ (มั้ง) เพราะในการออกข้อสอบ ก็ต้องย้อนกลับไปดูหลักสูตรฯ แล้วทำพิมพ์เขียวข้อสอบ (Test Buleprint) ว่าข้อสอบนี้วัดด้านใด พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย

   หากเป็นพุทธพิสัยก็จะแยกเป็น
   ความรู้ความจำ
   ความเข้าใจ
   การนำไปใช้
   การวิเคราะห์
   การสังเคราะห์

   เมื่อวิเคราะห์แล้ว ต้องบอกว่า ทำข้อสอบแต่ละระดับกี่ข้อ แบบทดสอบควรเป็นแบบใด ปรนัย หรืออัตนัย (ถ้าเป็นปรนัย ก็ต้องบอกอีกว่า แบบใดใน 4 แบบ)

   เมื่อได้แบบทดสอบแล้ว หากมีเวลา มีจำนวนนักเรียนเพียงพอ ต้องเอาแบบทดสอบนั้นไปหาค่า P ค่า R (ส่วนใหญ่อาจไม่ได้ทำครับ เพราะต้องกลุ่มตัวอย่างที่นอกเหนือจากที่สอบจริง) แล้วมาคัดในเรื่องของค่าคะแนนความยาก - ง่าย อีก

   และเมื่อจัดการเรียนรู้เสร็จแล้ว ต้องเขียนบันทึกท้ายแผนว่า ใช้แล้วเป็นอย่างไร เด็กผ่านจุดประสงค์กี่คน เด็กผ่านตัวชี้วัดกี่คน ไม่ผ่านกี่คน เพราะอะไร ควรแก้ไขอย่างไร....

   ...แล้วเอาผลนั้น มาทำเป็นงานวิจัย สร้างสื่อ สร้างนวัตกรรมเข้ามาแก้ไข

   แต่จะใช้เลยไม่ได้นะครับ ต้องผ่านการอนุญาตก่อน

   เมื่อสอนเสร็จประจำปี ก็ต้องรายงานทางต้นสังกัดว่า เด็กแต่ละชั้น ได้เกรดอะไรบ้าง เป็นจำนวนกี่คน ติด 0 กี่คน ติด ร กี่คน มส. กี่คน แล้วคุณแก้ไขหรือยัง อย่างไร บ่อยแค่ไหน (เด็กติด 0 เพราะไม่ยอมส่งงาน สอนก็แล้ว ด่าก็แล้ว ไม่นวมก็แล้ว ไม้แข็งก็แล้ว แจ้งผู้ปกครองก็แล้ว สุดท้าย ก็กลายเป็นความผิดของครู... สงสัย ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียน อัญเชิญนักเรียนไปส่งงาน ไปเข้าสอบเสียแล้วกระมัง)

   เอาหละ นอกจากการสอนอันมีขั้นตอนต่างๆตามที่พูดแล้ว ครูยังต้องทำงานเหล่านี้ (เอาแค่คร่าวๆนะครับ เพราะถ้าบอกหมดเดี๋ยวยาว)

   - งานวิชาการ
   ตรวจสอบจำนวนแผนของครู, ตรวจแบบทดสอบ, ตรวจสอบการแก้ไขหลักสูตร, การรายงานรายชื่อนักเรียนเข้าสอบ onet, การรับนักเรียน, การย้ายนักเรียน, การทำหลักสูตรอาเซียน, การทำหลักสูตรป้องกันอุทกภัย, การทำข้อมูลนักเรียน SIMS , การกรอกข้อมูลผลการเรียนในโปรแกรม student'51 , การรายงานข้อมูลต่างๆตามที่หน่วยงานต้นสังกัดขอ , การประชุม, การอบรม, การสัมมนา ฯลฯ ครูวิชาการจะโดนเรียกอบรม ประขุม สัมมนาบ่อยมากๆ  จำได้สมัยเงินเดือน 8 พันกว่า โดนอบรมทั้งปีรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 180 ชม. (ข้าราชการครู คิดชั่วโมงอบรมเป็น 6 ชม./วัน ครับ) เดินทางก็ต้องออกเงินค่าเดินทางเอง ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ถึงจะมีแต่ก็.... เหอะๆ นั่งรถเมล์จากพิษณุโลก ไปกำแพงเพชร เที่ยวละ 78 บ. ไปกลับก็ร้อยกว่า ได้เบี้ยเดินทาง 100 เดียว <<< เข้าเนื้อๆๆ 555+





   - งานบริหารทั่วไป / ธุรการ
   จัดทำเอกสารราชการ, จัดทำหนังสือเข้า - ออก, จัดทำคำสั่งในกิจกรรมต่าง, งานธุรการก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง แล้วก็ยังมีกิจกรรมต่างๆของนักเรียน เช่น แห่เทียน กีฬาสี งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นต้น

   - งานการเงิน
   งานนี้ มีขาอยู่ในคุก 1 ข้าง รับผิดชอบเรื่องการเบิกจ่ายเงิน ทั้งค่าอาหารกลางวัน, ค่านมเด็ก, ค่าอุปกรณ์อันแสนจะน้อยนิด (สำหรับโรงเรียนเล็ก) , ทำบันทึกประจำวันเงินคงเหลือ ก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง

   - งานพัสดุ 
   เมื่อครู่การเงินเอาขาข้างซ้ายเข้าไปอยู่ในคุก งานพัสดุกลัวน้อยหน้า เลยเอาขาข้างขวาไปอยู่ในคุกบ้าง เหอะๆๆๆ ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องทะเบียครุภัณฑ์, วัสดุคงทน, วัสดุสิ้นเปลือง, การเบิกจ่ายต่างๆของครู อันนี้จะเยอะหน่อยถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ บางโรงเรียนมีครูที่ทำหน้าที่การเงิน 14 คน โห!!! เท่้ากับครูโรงเรียนผมทั้งโรงเรียนเลย....

   ที่กล่าวมานี่เป็นส่วนหนึ่งนะครับ เพราะถ้าครูที่ทำงานเหล่านี้ทำไปเก็บงานไป เค้าก็อาจจะมีผลงาน แบบนี้

   แหม อยากจะเอาบันทีกประจำวันสแกนลงเสียจริงๆ เหอะๆ 

   ผมเชื่อว่าต้องมีครูที่ทำงานหนัก ทำงานมาก แถมยังโดนเรียกอบรมมาก เหมือนกัน เผลอๆอาจจะมากกว่าในกรณีที่โรงเรียนมีครู 2 คน อย่างที่บอกไปในบทความที่แล้ว

   นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงพี่น้องวงการครูที่อยู่โรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ สพฐ. อีกนะครับ พวกท่านคงลำบากเหมือนกันกับพวกเรา

   ที่เขียนมานี้ ไม่ใช่ว่า เรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนครูนะครับ เพียงแค่อยากจะบอกให้รู้ว่า บางท่านคิดว่า ครูมีปิดเทอม แต่ในช่วงที่เปิดเทอม ครูต้องทำอะไรบ้าง และครูบางคนอาจจะไม่มีปิดเทอม เพราะ ผอ.เรียกมาทำงาน หรือถูกเรียกประชุม อบรม สัมมนา

   การเป็นครูนั่นเหนื่อยครับ แต่การได้บ่นโดยการเขียนเนี่ย มันทำให้เรามีแรงฮึดต่อ เพราะอย่างน้อยๆเผื่อผู้หลักผู้ใหญ่ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา หรือแม้แต่นายกฯ อาจจะเผลอแวะเวียนเข้ามาอ่านบ้าง (เนาะ)

   บ่นกับด่ามันต่างกันนะครับ

   บ่นแต่ทำงาน กับไม่เคยบ่น(เพราะไม่ได้ทำงาน) กันก็ต่างกันครับ อิอิ (ศน.บางท่านบอกว่า เข้าแชมป์มันขี้บ่น แหม มันก็ขอระบายออกมาบ้างเถอะ แต่ก็บนหลักของวิชาการ เหตุผลนะครับ อิอิ)

   ใครทำอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ถ้าครูไม่รักลูกคนอื่นเท่าลูกตัวเอง ตอนที่ครูมีลูก ผลกรรมมันก็ตกกับลูกของครูเอง ใช่ไหมครับ เชื่อว่าครูเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมมีจิตวิญญานของความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยม มีสำนึกของความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มกำลัง

   สาธุ ขออานุสงส์ที่ตั้งใจทำเพื่อการศึกษา จงส่งผลให้ได้สัมฤทธิ์ในสิ่งที่ฝันสูงสุดด้วยเถิด....

(ผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านใด ก็กราบขออภัยล่วงหน้า ตามประสาครูนะจ๊ะ)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง


   สวัสดีครับ

   พอดีดูช่อง 3 พูดถึงเรื่องวิกฤตการศึกษาไทย คะแนน วิทย์ - คณิต อยู่ในระดับต่ำ เลยทำให้นึกถึงหัวข้อกระทู้เกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนครู แล้วมีอาชีพอื่น (รวมถึงในวงการศึกษาด้วยกัน) ออกมาวิจารณ์กันอย่างรุนแรง และเมามัน แต่สิ่งหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบคือ เค้า(ทั้งหลาย) ต่างคิดว่า ครูแสนสบาย มีปิดเทอม แต่พวกเค้าต้องทำงานเกี่ยวกับเชื้อโรค เกี่ยวกับความตาย ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับเค้าบ้าง

   แถมคุณสรยุทธ์ ยังเจาะประเด็นเรื่องนี้ออกช่อง 3 อีก เชื่อว่าต้องมีคนพูดว่า "เห็นไหม ขึ้นเงินเดือนให้พวกครูไปก็เท่านั้น ผลสัมฤทธิ์เด็กก็แย่ลง"

   เอาเป็นว่า ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างไม่เห็นอาชีพอื่นๆในทุกมุมมอง (คนที่มีแฟนเป็นครู ย่อมรู้ดีว่าหน้าที่ของครูต้องทำอะไรบ้าง คนที่มีแฟนเป็นตำรวจ ทหาร อบต. หรือแม้กระทั้งธุรการโรงเรียน ก็ต้องย่อมรู้ดีเช่นกัน) ... ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม เราไม่ควรตัดสินว่าอาชีพใดดีกว่า อาชีพใดสบายกว่า หากไม่มีข้อมูลจากประสบการณ์ตรง

   ในฐานะที่เป็นครู ก็ขอพูดเฉพาะในมุมของครูก็แล้วกัน

   พูดถึงครู ก็แบ่งออกเป็น ข้าราชการครู พนักงานราชการที่เป็นครู ครูอัตราจ้าง และครูเอกชน (สรุปแบบลวกๆนะครับ ว่ามี 4 กลุ่มใหญ่ๆนี้)

   ทีนี้ เรามาดูประเภทโรงเรียนบ้าง ถ้าจำไม่ผิดก็จะแบ่งเป็น
   - โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย
   - โรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ เช่นจุฬาภรณ์ หรือ มหิดลวิทยานุสรณ์
   - โรงเรียนสังกัด สพฐ (ประถม / มัธยม)
   - โรงเรียนสังกัด กทม.
   - โรงเรียนเอกชน
   - โรงเรียนพระปริยัติธรรม (สอนเณร)
   - โรงเรียนสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล)
   อันนี้แบ่งโดยคร่าวๆนะครับ ไม่ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการอะไรทั้งนั้น

   คราวนี้ ถ้าใครมีอาชีพเป็นครู ก็ต้องย่อมรู้ว่า โรงเรียนแบบไหน ได้งบประมาณขนาดไหน มากน้อยเพียงใด (คนที่ไม่ได้เป็นครู ลองเดาเล่นๆดูก็ได้นะครับ)
   ที่นี้ โรงเรียนสังกัด สพฐ. (บ้านของพวกผมเอง) ก็มีการแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่

   ขนาดของโรงเรียน ก็มีผลต่องบประมาณ เพราะนักเรียน ป.6 มี 200 คน กับ ป.6 มี 2 คน มันก็ต้องเปิดสอน ป.6 เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดของโรงเรียน เลยทำให้บางโรงเรียนที่เปิดสอน อนุบาล 1 - ป.6 ( 8 ชั้น) มีครู 2 คน กับ ผอ. 1 คน
   ... แล้วเค้าจะสอนได้อย่างไร

   เชื่อว่า ต้องมีคนถามแบบนี้ แต่อยากให้รับทราบไว้ว่า ทุกวันนี้ โรงเรียนก็ยังต้องสอนอยู่

   ทีนี้ ก็ต้องมีคนคิดว่า แล้วทำไม ไมุ่ยุบไปหละ...

   ผมอยากให้คุณนึกถึงว่า ถ้าวันหนึ่ง ในหมู่บ้านของคุณอยู่ เข้าต้องการตัดถนนเพื่อสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน แต่แผนที่มันตัดผ่านกลางบ้านคุณ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คุณจะยอมไหม บ้านของคุณอยู่มาตั้งนานอยู่ดีๆเค้าจะไล่คุณไปซะอย่างงั้น

   เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน ... ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หากโรงเรียนโดนยุบไป เค้าจะต้องเดินทางไกลขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น เอาเป็นว่า คุณลองคิดภาพนะครับ ลูกของคุณอยู่ ป.2 ต้องปั่นจักรยานไปโรงเรียนที่ไกลขึ้น เพราะโรงเรียนเก่าถูกยุบ โดยเส้นทางที่ไป ต้องผ่านถนนสายหลัก มีรถบรรทุกอ้อย บรรทุกน้ำมันวิ่งผ่าน คุณจะยอมไหม...

   เอาหละ จากเรื่องของขนาดของโรงเรียน และจำนวนครูแล้ว จะได้เข้าเรื่องที่ว่า ครูต้องทำอย่างไรบ้าง

   ก็รู้อยู่แล้วนะครับ ว่าครูต้องทำหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเีัรียน ซึ่งปัจจุบัน มีการใช้หลักสูตรฯ 51 กำหนดไว้ว่า 1 วัน เด็ก ม.ต้น ต้องได้เรียน 6 ชม. ส่วนระดับประถม เรียน 5 ชั่วโมง ส่วนชั่วโมงเหลือเป็นซ่อมเสริม

   ทีนี้ มีนักการศึกษากล่าวว่า ครูจะสอน 1 ชม. ต้องมีการเตรียมการสอน 1 ชม. เท่าๆกัน (การเตรียมการสอนที่ว่า คือการวิเคราะห์หลักสูตร ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ เขียนแผนจัดการเรียนรู้ เตรียมสื่อ เตรียมอุปกรณ์ เตรียมใบงาน เตรียมแบบทดสอบ &lt;&lt;&lt; ทั้งหมดเนี่ย 1 ชม.)

   แล้วครูโรงเรียนเล็กๆ ที่สอน 3 วิชา 5 วิชา คุณก็ลองคิดเองครับว่า จะต้องเตรียมการสอนอย่างไร ใช้เวลาแค่ไหน

   ทีนี้ โรงเรียนที่มีครู 2 คน หละ จะสอนอย่างไร...

   "สอนแบบบูรณาการสิ!!!" มีเสียงตะโกนออกมาจากหลังห้อง

   ถ้าต้องสอนแบบบูรณาการ ก็จะมีคำถามตามมาว่า
   - มีหลักสูตรรองรับไหม
   - หลักสูตรมีคุณภาพไหม
   - วัดผลได้อย่างไีร
   - คณะกรรมการสถานศึกษาฯ อนุมัติไหม
   - มีงานวิจัยรองรับหรือไม่
   - ผลการศึกษาทำให้เด็กสอบ onet ได้หรือไม่

   เอาแค่คำถาม 6 ข้อนี้ คุณจะสามารถตอบแทนโรงเรียนที่มีครู 2 คน ได้หรือไม่

   ....ประเด็นต่อมา ในโลกของความเป็นจริง ครูไม่ได้สอนอย่างเดียว

   งานหลักๆของโรงเรียน มี 4 งาน
   1. วิชาการ
   2. ธุรการ
   3. การเงิน
   4. พัสดุ (ไม่ใช่กองพัสดุที่มุตากับวีกิจเค้าทำงานนะครับ)

   เอาหละ ครู 2 คน มาจับฉลากกัน ว่าใครจะทำงานอะไร (ที่แน่ๆ การเงิน กับพัสดุ ห้ามเป็นคนๆเดียวกัน) แถมยังมีออกมาอีกว่า เรื่องพัสดุ ต้องมีหัวหน้่างานพัสดุ กับเจ้าหน้าที่พัสดุ อ้าาววววววว มีครูอยู่ 2 คน แล้วจะทำยังไง.... ทำอะไรไปก็ผิดระเบียบ เหอะๆ

   ยังครับ ยังไม่หมด ต้องบ่นอีกหลายวัน ยังไงอย่าลืมติดตามบันทึกของครูบ้านนอก โดยครูแชมป์ พิริยะ นะครับ อย่างน้อยๆ ก็ได้รับฟังมุมหนึ่งของครูนะครับ

   ผมเคยเขียนเรื่อง อาชีพครู ผู้รับใช้ที่ถูกประนาม แล้วมีคนส่งเมล์ และข้อความมาด่าว่าผม แล้วเค้าบอกว่า คนงานก่อสร้างเงินน้อยกว่าครู เค้าไม่ตายแล้วเหรอ... ผมไม่ได้ตอบโต้เค้าไป เพราะเค้าคงไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เรายืน คนงานก่อสร้าง เค้าไม่ได้จ่ายค่าถ่ายเอกสารให้ลูกคนอื่น ไมไ่ด้ซื้อหนังสือไปให้ลูกคนอื่นค้นคว้า หรือไม่ต้องซื้อแฟ้มใส่งานเอง ซื้อลวดเย็บกระดาษเอง ถ้าเป็นครูแล้วเงินดีอย่างคนนั้นว่า ผมคงไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซต์เก่าๆ ไปโรงเรียนซึ่งมีระยะทางไปกลับร่วม 50 กม. หรอกครับ

   ติดตามต่อ วันพรุ่งนี้นะครับ พี่น้องชาวไทย
(อ่านต่อ http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/2.html จ้าาาาา)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

AdSense ยกเลิกการแบนแล้ว


...หลังจากที่ลำบากใจมากหลายวัน

เช้าวันนี้ ดูเหมือนการเปิดคอมพ์ตั้งแต่ตีห้าจะเป็นการบอกข่าวดีให้ตัวเอง

   ผมลองเช็ค Adsense ดูว่ามีอะไรผิดปกติอีกไหม เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน จู่ๆก็มีข้อความว่า ถูกยกเลิกการใช้งานสำหรับเว็บ seal2thai.org แต่ยังสามารถใช้งานกับเว็บอื่นๆได้

   ตอนนั้น รู้สึกเสียใจมาก เพราะ seal2thai.org ถือเป็นเว็บหลักเลยทีเดียว ผมแปลกใจที่ช่วงหลังๆ บางครั้งเราไม่ได้ข้อความแจ้งเตือนเหมือนเมื่อก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกแบนเสียแล้ว

   สาเหตุที่ถูกแบนครั้งนี้ เป็นเพราะหน้าที่เป็น webboard ครับ

   ดังนั้น หากท่านใดทำ adsense แล้วมี webboard ก็ระวังด้วยนะครับ

   (มีประโยชน์ขอสัก Like เด้ออออ)


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เหตุใดคนโบราณไม่นิยมสวมแหวนนิ้วกลาง




วิชาการหัตถศาสตร์ของไทย ท่านอธิบายดังนี้ นิ้วกลางเป็นนิ้วของดาวเสาร์ ถ้านิ้วยาวแสดงว่าเป็นคนรักความสงบ ชอบการศึกษา ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมและหนา แสดงว่ามีความคิดลึกซึ้ง ถ้านิ้วสั้นหรือมีตำหนิ จะไม่เอาใจใส่เรื่องใด ถ้านิ้วนี้ยาวกว่าฝ่ามือ เป็นผู้รอบคอบดี ถ้าสั้นกว่าฝ่ามือ เป็นคนใจร้อน มักตกลงใจเร็ว นิ้วกลางสำคัญเพราะป็นนิ้วที่รับเส้นโชคอันหมายถึงอาชีพและวิถีทางแห่งชีวิต และเป็นนิ้วที่แสดงถึงนิสัยโดยตรง

อีกตำราบอกถ้านิ้วกลางยาวเกินไปเป็นคนเซื่องซึม สั้นเกินไปเป็นคนรุกราน อยู่ไม่สุข ตรงจึงจะดี ถ้าไม่ตรงเป็นคนมีอัตตทิฏฐิคือถือตนเป็นใหญ่ ถ้าแอ่นหงายไปข้างหลังมาก มักขัดสนหรือกำพร้าบิดามารดามาแต่น้อย ถ้ามีเส้นคาดรอบวงนิ้ว แม้สุขแต่ก็ทุกข์ทางใจ มีรอยก่ายไขว้กันตรงข้อหรือเป็นกากบาท ไม่ดี มีตำหนิหรือพิการ มักอยู่ห่างจากมารดา

ดังนั้นการที่เราสวมใส่แหวนก็เหมือนเอาอะไรมารัดตรงนิ้วกลาง ท่านว่าไม่เหมาะไม่ควร

เรื่องของความเชื่อมีหลายกระแส แต่คนที่สวมแหวนนิ้วกลาง จะเป็นคนจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจินตนาการสูง ไม่มั่นใจในตัวเอง หนุ่มใดมาจีบต้องสร้างความมั่นใจให้รู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่น่ะดีเลิศ คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของผม...ว่าเข้าไปนั่น

ส่วนอีกตำราบอกว่าคนชอบสวมแหวนนิ้วกลางจะเป็นคนรักสันโดษ ยึดถือความคิดของตนเป็นหลัก เอาตนเป็นจุดศูนย์กลาง ค่อนไปทางดื้อรั้น แต่ก็ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นบางครั้ง มีความจริงใจ ซื่อสัตย์มั่นคง ห่วงใยความรู้สึกของคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวหรือเพื่อน

แถมการทายทักถึงการสวมแหวนในนิ้วอื่นให้ด้วยเอ้า นิ้วชี้เป็นนิ้วของดาวพฤหัสบดี สวมแหวนนิ้วนี้แสดงถึงความเด่น มีอำนาจปกครองคน มีมานะ ก้าวหน้า มุ่งที่จะเชิดชูฐานะตนให้เด่นขึ้น บอกลักษณะของความมีความเชื่อมั่นในตัวเอง นิ้วนางเป็นนิ้วของดาวอาทิตย์ แหวนบนนิ้วนาง (ไม่ได้หมายถึงแหวนแทนรัก) สื่อความว่าเป็นผู้เอาแต่ใจตัวเอง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ แต่ภายใต้ความท่าทางเข้มแข็งคือความบอบบาง

นิ้วก้อยนิ้วของดาวพุธ สวมใส่แหวนนิ้วก้อยนี้ท่านว่าอยู่ในโลกของความฝัน เก็บกด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ส่วนนิ้วหัวแม่มือ สวมแหวนนิ้วนี้ว่าเป็นคนแปลก สังคมและสายตาผู้อื่นทำอะไรมิได้ มีความเชื่อมั่นและความภูมิใจในตัวเอง

ไม่ใช่เรื่องต้องถอดแหวนทิ้งหากทักทายไม่เข้าแก๊ป ขึ้นอยู่กับความสบายใจ สบายก็สวม ไม่สบายก็ไม่ต้องสวม...ก็แล้วกั

ขอบคุณเกร็ดความรู้จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด





ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................